วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

ศาสนาเชน(jain religion)

ศาสนาเชน(Jain religion)

ศาสนาเชนกำเนิดในเอเชียใต้ คือบริเวณประเทศอินเดียในปัจจุบันในราว 635 ปีก่อนคริสต์ศํกราชเกิดก่อนศาสนาพุทธประมาณ 43 ปี มีพระมหาวีระเป็นศาสดา (แต่ศาสนิกชนมีความเชื่อว่าศาสนาเชนมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ก่อนหน้าศาสดาพระมหาวีระช้านาน และเชื่อกันว่าพระมหาวีระ คือ องค์ศาสดา หรือตีรถังกรองค์สุดท้าย(ผู้สร้างทางข้ามพ้นไป) เป็นศาสดาองค์ที่ 24 ของศาสนาเชน โดยศาสดาองค์ก่อนพระมหาวีระคือ องค์ศาสดาปราศวนาท ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนการนิพพานของมหาวีระ) เป็นศาสนาที่เกิดจากการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์ ในด้าน คำสอน ความเชื่อถือ และศาสนาพิธี ตลอดทั้งปฏิเสธเรื่องพระเจ้าเป็นศาสนาประเภท"อเทวนิยม" ศาสนาเชนสอนเน้นหนักในการบำเพ็ญทุกขกิริยา คำว่า “เชน” บางทีออกเสียงว่า ไชน์ หรือ ไยน์ มาจากคำว่า “ชินะ” แปลว่า “ผู้ชนะ” เพราะฉะนั้น ศาสนาเชนจึงหมายความว่าศาสนาแห่งผู้ชนะ (ชนะตนเอง) มหาวีระผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนมีนามเดิมว่า วรรธมานะ แปลว่า ผู้เจริญ ประสูติ ณ นครเวสาลี แคว้นวัชชี ในภาคเหนือ ของอินเดีย ในราว 635 ปีก่อนคริสต์ศักราช กำเนิดในสกุลกษัตริย์ พระบิดานามว่า สิทธารถะ พระมารดานามว่า ตริศาลา มีพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน 2 องค์ คือ พระเชษฐภคินี และพระเชษฐภาดา พระมหาวีระ เป็นโอรสองค์สุดท้าย ในวันประสูติของเจ้าชายวรรธมานะ ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชที่นครเวสาลีอย่างใหญ่โตมโหฬาร พระเจ้ากรุงเวสาลีทรงบำเพ็ญทานโปรดให้แจกจ่ายสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคแก่คนยากไร้อนาถาและให้ประกาศนิรโทษแก่นักโทษที่ถูกจองจำ ยิ่งกว่านั้นบรรดา นักพรตและเหล่า พราหมจารย์ ต่างก็ได้พยากรณ์ว่า เจ้าชายจะทรงเป็นผู้มีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ โดยมีคติเป็น 2 คือ 1. ถ้าอยู่ครองฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิ 2. ถ้าทรงออกผนวช จักได้เป็นศาสดาเอกของโลก
เมื่อเจริญวัยได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์หลายอย่างโดยควรแก่ฐานะแห่งกษัตริย์ เผอิญวันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับสหาย ได้มีช้างตกมันตัวหนึ่งหลุดออกจากโรงวิ่งมาอาละวาด ทำให้ฝูงชนแตกตื่นตกใจ ไม่มีใครจะกล้าเข้าใกล้และจัดการช้างตกมันตัวนี้ให้สงบได้ แต่เจ้าชายวรรธมานได้ตรงเข้าไปหาช้างและจับช้างพากลับไปยังโรงช้างได้ตามเดิม เพราะเหตุที่แสดงความกล้าหาญจับช้างตกมันได้จึงมีนามเกียรติยศว่า "มหาวีระ" แปลว่า ผู้กล้าหาญมาก
เมื่อเจ้าชายวรรธมานะมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา ทรงได้รับพิธียัชโญปวีตคือพิธีสวมด้ายมงคลแสดงพระองค์เป็นศาสนิกตามคติศาสนาพราหมณ์ โดยบิดาได้ทรงส่งเจ้าชายวรรธมานะไปศึกษาลัทธิของพราหมณษจารย์หลายปี เจ้าชายทรงสนพระทัยในการศึกษาแต่ในพระทัยมีความขัดแย้งกับคำสอนของพราหมณ์ที่ว่า “วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุดในโลก ส่วนวรรณะอื่นต่ำต้อย แม้วรรณะกษัตริย์ยังต่ำกว่าวรรณะพราหมณ์ แต่แล้วพวกพราหมณ์ได้ประพฤติกาย วาจาและใจ เลวทรามไปตามทิฐิและลัทธินั้นๆ”
เมื่อเจ้าชายวรรธมานมีพระชนมายุได้19พรรษา พระบิดาทรงจัดให้อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงยโสธรา ซึ่งเวลาต่อมาได้พระธิดาองค์หนึ่งนามว่า อโนชา หรือ ปริยทรรศนา เจ้าชายวรรธมานกับพระชายาได้เสวยสุขในฆราวาสวิสัยด้วยความเกษมสำราญ
จนพระชนมายุได้ 28 พรรษา มีความเศร้าโศกเสียพระทัยอย่างมากจากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาและพระมารดา ด้วยวิธีการอดอาหารตามข้อวัตรปฏิบัตรในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเรียกว่า "ศาสนอัตวินิบาตกรรม" ซึ่งถือว่าเป็นบุญอย่างหนึ่ง พร้อมทั้งได้ ทรงสละพระชายาและพระธิดา เปลี่ยนผ้าคลุมพระกายเป็นแบบนักพรต เสด็จออกจากนครไพสาลี และได้ทรงประกาศมหาปฏิญญาในวันนั้นว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 12 ปี ขอไม่พูดกับใครแม้คำเดียว พระมหาวีระได้ทรงบำเพ็ญตนเป็นนักพรตถือการขอเป็นอาชีพ ได้เสด็จเที่ยวไปตามคามนิคมต่างๆโดยมิได้พูดอะไรกับใครเป็นเวลา 12 ปี ได้บรรลุความรู้ขั้นสูงสุดเรียกว่า ไกวัล ถือเป็นผู้หลุดพ้นกิเลสทั้งปวง เป็นพระรหันต์และเป็นผู้ชนะโดยสิ้นเชิง เมื่อพระมหาวีระได้ทรงบรรลุไกวัลแล้ว จึงทรงพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องละปฏิญญานั้นเสียกลับมาสู่ภาวะเดิมคือยองพูดกับคนทั้งหลาย เพื่อช่วยกันปฏิรูปความคิดและความประพฤติเสียใหม่ แล้วได้เริ่มเที่ยวประกาศศาสนาใหม่อันได้นามว่า ท่านเชน ศาสดามหาวีระได้ทรงใช้เวลาในการสั่งสอนสาวกไปตามคามนิคมต่างๆเป็นเวลา30ปี
และเมื่อมีพระชนมายุได้72 ปี ได้ทรงประชวรหนัก ทรงทราบว่าวาระสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง จึงเรียกประชุมบรรดาสาวกทั้งหลาย และสั่งสอนเป็นโอกาสสุดท้ายและได้ทรงเข้าถึงนิพพานหรือมรณภาพ ประมาณปีที่ 572 ก่อน ค.ศ. ที่เมืองปาวาหรือสาธารณรัฐมัลละและปาวาบุรีนี้ได้เป็นสังเวชนียสถานสำหรับศาสนิกเชนทุกคน

คัมภีร์ของศาสนาเชน เรียกว่าอาตมะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สิทธานตะ หรือคัมภีร์กัลปสูตร ประกอบด้วยคัมภีร์ 45 เล่ม และแบ่งย่อยออกไปเป็นคัมภีร์ละ 11 ส่วน กับเล่มที่ 12 เรียกว่า ฤทธิวาท เป็น อุปางคะ 11 ส่วน แบ่งเป็นมูลสูตร 4 เล่ม เป็นเจตสูตร 6 เล่ม เป็นคูสิกสูตร 2 เล่ม และเป็นปกิณกะ 10 เล่ม(ตามหลักฐานปรากฏว่าได้จารึกเป็นอักษรปรากฤตประมาณ 200ปี ภายหลังสมัยของพระมหาวีระ ส่วนคำอธิบายคัมภีร์ และวรรณคดีของเชนในสมัยต่อมา ล้วนเป็นภาษาสันสกฤต ส่วนแรกแห่งคำสอนประกอบด้วยอังคะ(ส่วน) 12 อังคะ แต่อังคะที่ 12 ได้สูญหายไป ตามหลักฐานปรากฏว่า ได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ประมาณ 200 ปีภายหลังสมัยของมหาวีระองค์ศาสดาของศาสนาเชน /คัมภีร์ในปัจจุบันมีอยู่ 37 คัมภีร์ส่วนใหญ่จะเขียนขึ้นมาภายหลัง กล่าวถึงชีวประวัติของมหาวีระสาวกของศาสนาเชนโดยมีความเห็นในเรื่องคัมภีร์ค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น นิกายเศวตัมพรยึดคัมภีร์อาคมะเป็นคัมภีร์ศาสนาของพวกตนภายใต้ความเชื่อว่าสาวกผู้ใกล้ชิดมหาวีระเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์อาคมะขึ้น แต่นิกายทิคัมพร เชื่อว่าคัมภีร์ดั้งเดิมได้สูญหายไปแล้ว คำสอนของมหาวีระถูกรวบรวม แก้ไข หรือเขียนเพิ่มเติมขึ้นโดยนักบวชสมัยโบราณหลายท่าน )

หลักการสำคัญของศาสนา คือ การเข้าถึงจุดหมายปลายทางสูงสุดของชีวิตคือความหลุดพ้น(โมกษะหรือนิรวารณะ) อันเป็นความสุขที่แท้จริงและนิรันดร ผู้หลุดพันจากเครื่องผูก คือ กรรม ได้ชื่อว่า สิทธะ หรือ ผู้สำเร็จ เป็นผู้ไม่มีชั้นวรรณะ ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนต่อกลิ่น ปราศจาก ความรู้สึกเรื่องรส ไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา ไม่มีความหิว ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความดีใจ ไม่เกิด แก่ ตาย ไม่มีรูป ไม่มีร่างกาย ไม่มีกรรม เสวยความสงบอันหาที่สุดมิได้ โดยมีวิธีการที่จะบรรลุจุดหมายปลายทางนั้นจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัดตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานที่เรียกว่า อนุพรต 5 จนถึงอย่างสูงที่เป็นข้อปฏิบัติอันยิ่งใหญ่และสำคัญคือ มหาพรต 3

หลักธรรมคำสอนของศาสนาเชน แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ๆ กว้างๆ 3 หลัก ดังนี้
1.ข้อปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ได้แก่ หลักอนุพรต 5 (ศีล 5 ) มีดังต่อไปนี้
1.1 อหิงสา การไม่เบียดเบียน ไม่ทำลายชีวิต โดยได้มีการแบ่งชั้นของสัตว์ตามความสามารถทางประสาทสัมผัส และตามลักษณะที่เคลื่อนไหวได้หรือไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.1.1.สถาวระ(ประเภทเคลื่อนไหวไม่ได้) มีเพียงอายตนะเดียวคือ อายตนะสำหรับสัมผัสได้แก่ ผักหญ้า และ1.1.2.ตรุสะ(ประเภทเคลื่อนไหวได้) มี4ปรเภท คือ 1) สัตว์ที่มีอายตนะ 2 คือ ทางสัมผัสกับทางลิ้มรส เช่น หนอน 2)สัตว์ที่มีอายตนะ 3 คือ ทางสัมผัส ลิ้มรส และได้กลิ่น เช่น มด 3)สัตว์ที่มีอายตนะ 4 คือ เพิ่มในทางมองเห็น เช่น ผึ้ง 4)สัตว์ที่มีอายตนะ 5 คือ เพิ่มในทางได้ยินเสียง เช่น นก
ผู้ที่นับถือศาสนาเชนจะฆ่าหรือกินสัตว์เหล่านี้ไม่ได้ จะทำได้เฉพาะที่มีอายตนะทางสัมผัสอย่างเดียว คือ ผักหญ้า สรุปก็คือ เชนศาสนิกทุกคนทานอาหารมังสวิรัติ
1.2 สัตยะ พูดความจริง ไม่พูดเท็จ
1.3 อัสเตยะ ไม่ลักขโมย รวมทั้งไม่หลบเลี่ยงภาษีอากร
1.4 พรหมจรยะ อย่างต่ำคือการไม่ประพฤติผิดในกาม
1.5 อปริครหะ การไม่โลภ ไม่ควรมีข้าวของมากเกินจำเป็น
2.ข้อปฏิบัติขั้นสูง เรียกว่าหลักมหาพรต3 เป็นข้อปฏิบัติสำคัญและยิ่งใหญ่ ได้แก่
2.1.สัมยัคทรรศนะ ความเชื่อที่ถูกต้องได้แก่ เชื่อในศาสดาทั้ง 24 องค์ ของศาสนาเชน เชื่อในเชนศาสตร์ หรือคัมภีร์ของศาสนาเชน และเชื่อในนักบวชผู้สำเร็จผลในศาสนาเชน
2.2.สัมยัคญาณะ ความรู้ที่ถูกต้องได้แก่ รู้สิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง และด้วยความแน่ใจ โดยแบ่งออกเป็น 2 ข้อ ดังนี้
2.2.1.ชญาน แบ่งออกเป็น 5 ประการ ดังนี้ 1) มติชญาน ความรู้ทางประสาทสัมผัส 2) ศรุติชญาน ความรู้เกิดจากการฟัง 3) อวธิชญาน ความรู้เหตุที่ปรากฎในอดีต 4) มนปรยายชญาน ชญานกำหนดรู้ใจผู้อื่น 5) เกวลชญาน ชญานอันสมบูรณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนบรรลุนิรวาณ
2.2.2.ชีวะและอชีวะ ศาสนาเชนเป็นศาสนาทวินิยม กล่าวคือ มองสภาพความจริงว่ามีส่วนประกอบของสิ่งที่มีอย่างเที่ยงแท้เป็นนิรันดรว่ามีอยู่ 2 สิ่งดังนี้ 1.) ชีวะ ได้แก่ วิญญาณ หรือสิ่งมีชีวิต หรือ อาตมัน 2.) อชีวะ ได้แก่ อวิญญาณ หรือสิ่งไม่มีชีวิต ได้แก่วัตถุ มีสสารประกอบด้วยองค์ประกอบขั้นพื้นฐาน 5 ประการ คือ การเคลื่อนไหว(ธัมมะ) การหยุดนิ่ง(อธัมมะ) อวกาศ(อากาศ) สสารและกาล ทั้งหมดเป็นนิรันดร(ปราศจากการเริ่มต้น) และทั้งหมดยกเว้นวิญญาน(ชีวะ) เป็นสิ่งไม่มีชีวิต และทั้งหมดยกเว้นสสาร เป็นสิ่งไม่มีตัวตน การเคลื่อนที่และการหยุดนิ่ง โดยตัวของมันเองไม่มีอยู่ จะต้องมีสิ่งอื่นมาทำให้มันเคลื่อนที่และหยุดนิ่ง องค์ประกอบขั้นพื้นฐานของอชีวะหรือสสารทั้ง 5 ดังกล่าวมีกาล(เวลา) ซึ่งเป็นนิรันดรเป็นองค์ประกอบ
ถ้ากล่าวโดยพิสดารทุกอย่าง แบ่งออกเป็น 9 ดังต่อไปนี้
1. ชีวะ หรือ อาตมัน 2. อชีวะ หรือวัตถุ 3. ปุณยะ ได้แก่ บุญ 4. ปาปะ ได้แก่ บาป 5. กรรม ได้แก่ การกระทำ 6. พันธะ ได้แก่ ความผูกพัน 7. สังสาระ ได้แก่ ความเวียนว่ายตายเกิด 8. นิรชระ ได้แก่ การทำลายกรรม
9. โมกษะ ได้แก่ ความหลุดพ้น
2.3.สัมยัคยาริตะ ความประพฤติที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดกล่าวคือหากบุคคลใดมีความเชื่อและความรู้ที่ถูกต้องตามที่กล่าวมาแล้ว แต่ไม่สามารถประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องได้ก็จะไม่สามารถเข้าถึงความหลุดพ้น(โมกษะ)ซึ่งก็คือความเป็นอิสระของวิญญาน พูดง่ายๆคือ การทำให้วิญญานหลุดพ้นจากอัตตา และจากความไม่บริสุทธิ์ ไม่ต้องมาเกิดอีกโดยไปอยู่ในส่วนหนึ่งของเอกภาพที่เรียกว่า "สิทธศิลา" ซึ่งเป็นดินแดนแห่งความสุขนิรันดร (แต่ในศาสนาพราหมณ์ เมื่อวิญญานหลุดพ้นแล้วจะไปรวมอยู่กับพรหม ) โดยการปฏิบัติที่จะให้ถึงความหลุดพ้น(โมกษะ)นั้น จะต้องมีความประพฤติที่ถูกต้องในข้อปฏิบัติทั้งของนักบวชและคฤหัสถ์ แต่ที่นับว่าสำคัญที่สุดก็คือ อหิงสา การไม่เบียดเบียน หลักปฏิบัติดังกล่าวเป็นทางทำลายกรรม คือการกระทำ ซึ่งเป็นเหตุให้เิกิดการถูกผูกมัด หรือผูกพันตามหลักปรัชญาของศาสนานี้

นิกายสำคัญของศาสนาเชน ศาสนาเชนมีนิกายที่สำคัญอยู่ 2 นิกาย
1.นิกายเศวตัมพร นิกายนุ่งผ้าขาว ถือว่าสีขางเป็นสีบริสุทธิ์ นำโดยสถูลภัทร ส่วนใหญ่ประจำอยู่ในแคว้นพิหาร ที่หน้าสำนักจะติดตั้งรูปตีรถังกรประดับด้วยเครื่องนุ่งห่มและมองตรงไปข้่างหน้าปฏิบัติธรรมถือหลักศีล 5 เป็นพื้น คือ อวิหิงสา สัจจะ อัสเตยะ พรหมจรรย์และอปริครหะ มีการทำสังคายนา รวบรวมคัมภีร์ศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ มีการแตกแยกเป็นนิกายย่อยลงไปอีกถึง 84 นิกาย ที่ต่างกันโดยมากเป็นเรื่องของความเห็นที่ทำให้การปฏิบัติต่างกันออกไป เช่น นิกายหนึ่งเห็นว่าต้องบูชารูปตีรถังกรเพราะเป็นศาสดา อีกนิกายหนึ่งเห็นว่า เพียงเคารพนับถือก็พอไม่ต้องบูชาเพราะ ตีรถังกรมิใช่เทพเจ้า อีกนิกายหนึ่งเห็นว่า ควรสร้างรูปเคารพแต่อีกนิกายเห็นว่าไม่ควรสร้างรูปเคารพ เป็นต้น
2.นิกายทิคัมพร นิกายนุ่งลมห่มฟ้า ( เปลือยกาย) นำโดยภัทรพาหุ ปฏิบัติเคร่งครัดโดยเฉพาะข้อ ยริครหะ คือ ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม มีลักษณะเป็นการทรมานตน ศาสนิกโดยทั่วไปไม่สามารถจะปฏิบัติตามได้ ถือหลักที่สำคัญที่สุด 3 ประการคือ 1) การอดอาหารหรือไม่กินอาหารใดๆแม้แต่น้ำ 2) ไม่มีพันธนาการแม้แต่ผ้านุ่งห่มใดๆ รวมทั้งสมบัติอื่นๆ 3) ไม่อนุญาตให้สตรีบวชและบรรลุธรรม
แบ่งแยกออกเป็นนิกายย่อยอีก 5 นิกาย ไม่มีการทำสังคายนาถือคัมภีร์ที่รวบรวมโดยภัทรพาหุว่าสมบูรณ์แล้ว รูปองค์ตีรถังกรในสำนักเป็นรูปเปลือย นักบวชไม่ใช้เครื่องนุ่งห่ม
สัญลักษณ์ของศาสนาเชน สัญลักษณ์โดยตรงของศาสนาเชนก็คือ รูปปฏิมาของศาสดามหาวีระ ซึ่งในโบสถ์หรือในวัดเชน ทั่ว ๆ ไปจะมีรูปปฏิมาของศาสดาประดิษฐานอยู่ หรือภายในบ้านของศาสนิกชนเชนก็มีรูปปฏิมาโลหะไว้บูชา ต่อมา ศาสนาเชนได้ถือเอาลวดลายต่างๆ ซึ่งมีภาพมหาวีระอยู่ในวงกลมประกอบอยู่ด้วย
ปัจจุบันได้ถือรูปทรงกระบอกตั้ง มีบรรจุสัญลักษณ์อยู่ข้างใน 4 ประการ ดังนี้
1. รูปกงจักร สัญลักษณ์อหิงสาอยู่บนฝ่ามือ
2. รูปสวัสดิกะ เครื่องหมายแห่งสังสาร
3. จุด 3 จุด สัญลักษณ์แห่งรัตนตรัย - ความเห็นชอบ ความรู้ชอบ ความประพฤติชอบ
4. จุด 1 จุด อยู่บนเส้นครึ่งวงกลมตอนบนสุด คือ วิญญาณแห่งความหลุดพ้น เป็นอิสระสถิตอยู่ ณ สถานที่สูงสุดของเอกภาพ สัญลักษณ์นี้มาจากความเชื่อที่ว่า เวลาและเอกภาพเป็นสิ่งนิรันดร ไม่มีรูป โลกคงมีอยู่ไม่มีวันจบสิ้น เป็นสภาพนิรันดร ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่สภาวะเปลี่ยนแปลงคงอยู่ตลอดกาล อวกาศเป็นสิ่งขยายไร้รูป เป็นที่รองรับเนื้อที่ทั้งมวลของเอกภาพ และเอกภาพมีรูปร่างเหมือนคนยืนกางขา เอามือเท้าสะเอว รูปร่างเพรียว เอวแบน ตรงกลางเอกภาพมีที่สถิตแห่งดวงวิญญาณ เป็นบริเวณที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทุกชนดมีอยู่ เหนือบริเวณตอนกลางของเอกภาพขึ้นไป คือ โลกชั้นบน โลกชั้นนี้มีสองส่วน มีสวรรค์ 16 ชั้น มีเขตของท้องฟ้า 14 เขต ชั้นบนที่สุดของเอกภาพเป็นที่ตั้งของ สิทธศิลา ซึ่งเป็นสถานที่มีลักษณะบริเวณโค้ง เป็นที่สถิตของวิญญาณที่หลุดพ้นออกจากกายที่อยู่บนโลกมนุษย์ เรียก ไกวัล
รูปปฏิมาของศาสดามหาวีระที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่ ที่ประดิษฐานที่เมืองโลหะนิปุระ ใกล้ ๆ กับเมืองพิหาร หล่อขึ้นมาในสมัยราชวงศ์เมารยะ และได้ขุดค้นพบที่เมืองกันกาลิทิลา แคว้นมธุระ มากมาย รูปปฏิมาในยุคแรก ๆ ทุกองค์ไม่สวมเสื้อผ้า รูปปฏิมาอีกรูปที่หล่อด้วยทองสำริดอายุเก่าแก่ที่สุด พบได้ในพิพิธภัณฑ์ปรินซ์ออฟเวลล์

ผู้นับถือศาสนาเชน ในอินเดียปัจจุบันมีสาวกศาสนาเชน ประมาณ 2,000,000 คน กระจัดกระจายกันอยู่ในเกือบทุกรัฐของอินเดีย แต่ส่วนใหญ่จะมีอยู่มากในบริเวณภาคตะวันตกของอินเดีย อุตรประเทศ ไมเซอร์ มัธยมประเทศ และมหาราษฏระรา สำหรับประเทศไทยมีเชนศาสนิกชนอยู่ประมาณ 450 ครอบครัว โดย 70-80 ครอบครัว นับถือนิกายเศวตัมพร และอาชีพของพวกเขาก็จะเป็นอาชีพเกี่ยวกับธุรกิจเครื่องประดับ เพชร พลอย และอัญมณีอื่นๆ โดย*ศรีฑิฆัมพร สมาช ณ. กรุงเทพมหานคร* ได้ก่อตั้งวัดเชน เมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมามีชื่อว่า *ศรี 1008 มหาวีระ มัณดรา* ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 143/3 ใกล้ตึก บิวล์ดิ้ง อพาร์ตเมนต์ ซอย 45 ถนนเจริญกรุงใหม่

พิธีกรรม พิธีกรรมที่สำคัญของศาสนาเชน คือ
1)การบวชเป็นบรรพชิต เป็นการเปลี่ยนแปลงภาวะของคนธรรมดาสู่ความเป็นนักพรต ครองผ้า 3 ผืน ต้องโกนผมด้วยวิธี ถอนผมตนเอง ฉันอาหารเท่าที่แสวงหามาได้การถืออัตตกิลมถานุโยค ศาสนาเชนถือว่าการทรมานตนให้ได้รับการลำบากต่างๆ เช่นการอดอาหาร การไม่พูดจากับใครจะสามารถทำให้บรรลุโมกษะ
2)พิธีกรรมเนื่องด้วยการระลึกถึงองค์ศาสดาทุกพระองค์ โดยเฉพาะพิธีกรรมระลึกถึงศาสดามหาวีระ เช่น 2.1)พิธีฉลองวันประสูติของมหาวีระ พิธีปัชชุสนะ คือการกระทำใจให้สงบ การอภัย และการเสียสละ อาศัยอยู่เฉพาะที่แห่งเดียวในฤดูฝน มีการบริจาคทานให้คนยากจนในวันสุดท้ายแห่งพิธีกรรม และมีการนำเอารูปองค์ศาสดาไปแห่ตามท้องถนนและในที่ต่างๆ 2. 2)แต่ละปีจะมีการจัดพิธีกรรมที่เรียกว่า ไกตระ คือ การจัดพิธีเคารพรูปองค์ศาสดา ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 9 วัน ระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน และเดือนกันยายน - ตุลาคม 2.3)พิธีระลึกถึงวันนิรวาณของมหาวีระ วันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ศาสนิกชนก็จะจุดตะเกียง เพื่อให้เกิดแสงสว่างไปทั้งร่างกายและจิตใจ และ2.4)ต่อไปอีก 5 วัน ก็เป็นพิธีญานปัญจมะ พิธีกรรมเคารพพระคัมภีร์ และมีการจาริกแสวงบุญไปยังภูเขาสะตรันชัย อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งตีรถังกรองค์แรก 2.5)พิธีกรรมประจำวัน คือ พิธีชลบูชา การทำความสะอาดองค์ตีรถังกรด้วยน้ำและเช็ดให้แห้งอย่างสำรวมระวังมิให้น้ำหกหยดลงพื้นเด็ดขาด แล้วยังต้องล้างด้วยน้ำนมอีกแล้วกรองผ้าให้ใหม่ ตกแต่งให้งามด้วยเครื่องประดับ เช่น ทอง เงิน สร้อย มงกุฎ กำไล หรือพวงมาลัย เป็นต้น และการถวายอาหาร คือ ข้าว และผลไม้แห้งในเวลาเช้า และ 2.6)พอตอนเย็นทำพิธีอารติบูชา คือการแกว่งตะเกียงจากซ้ายไปขวาเบื้องหน้าองค์ตีรถังกรในนิกายเศวตัมพร
ปัจจุบัน ศาสนาเชนได้แปลงหลักการศาสนา กำหนดข้อปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์และบรรพชิต คังนี้
1)ข้อปฏิบัติของผู้ครองเรือน มี 12 ข้อ ดังนี้ 1.เว้นจากการฆ่าสัตว์ 2.เว้นจากการพูดเท็จ 3.เว้นจากการลักฉ่อ 4.สันโดษในลูกเมียตน 5.มีความปรารถนาพอสมควร 6.เว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นอาหาร 7.อยู่ในเขตของตนตามกำหนด 8.พอดีในการบริโภค 9.เป็นคนตรง 10.บำเพ็ญพรตประพฤติวัตรในคราวเทศกาล 11.รักษาอุโบสถ 12.บริบูรณ์ด้วยปฏิสันถารต่ออาคันตุกะ
2) ข้อปฏิบัติของบรรพชิต มี เพิ่มอีก 3 ข้อ 1. ห้ามประกอบเมถุนธรรม 2.ห้ามเรียกสิ่งต่างๆว่าเป็นของตนเอง 3.กินอาหารเที่ยงแล้วได้ แต่ห้ามกินในราตรี
--------------------------------